วันนี้ตอนที่ไปทำงาน ได้เจอปัญหาเดิมเกี่ยวกับลูก โดยเขาร้องไห้เมื่อเขาโดนขัดใจหรือไม่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ ลูกอายุ 4 ขวบจะครบ 5 ขวบในเดือน ธันวาคมนี้ ครูจี๊ดที่เป็นอาจารย์ใหญ่ของของร.ร. เล่าให้ฟังว่า เหวิน ๆ อาจจะเป็นเด็กมีปัญหาทางด้านนิสัยใจคอถ้าไม่รีบแก้ตอนนี้ เขาอยู่ห้องเรียนแล้วไม่ตั้งใจเรียนเช่น ครูบอกให้เปิดหนังสือไปหน้า 12 เขาก็โวยวายบอกว่าหาไม่เจอทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใส่ใจแล้วโวยวายเมื่อเพื่อนสามารถทำอะไรได้เสร็จก่อนเขา ผมเริ่ม ๆ มาคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกผมคือ นิสัยใจคอ ที่เรียกร้องความสนใจ แล้วอิจฉาเวลาคนอื่นดีกว่าเขา เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วผมอุ้มหลานชายที่เพิ่งเกิด ลูกผมเห็นเข้าก็กระทืบเท้า งอน พร้อมร้องไห้ และไล่ผมให้กลับบ้าน หรือผมคุยเล่นว่าลูกน่าจะเก่งดนตรีแบบพี่ ๆ นักดนตรี หรือบอกให้เขาไปเรียนวาดภาพ (ที่เขาชอบ) เขาก็จะแสดงอาการว่า เขาดีอยู่แล้วไม่ต้องมาบอกไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม ซึ่งเป็นอาการที่บอกว่า ยอมให้คนอื่นดีกว่า "ไม่ได้" สิ่งต่าง ๆ นี้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา แล้วเห็นชัด ๆ ในช่วงเดือนนี้ ผมคิดมากแล้วมานั่ง นึก ๆ ทบทวนในสิ่งที่เกิดขึ้น ก็พอจะเข้าใจว่าที่ผ่าน ๆ มาเวลาลูกต้องการอะไร เขาจะร้องไห้ก่อนเลย แล้วบอกว่าต้องการอะไร ทั้ง ๆ ที่ เขาสามารถทำอะไรได้เอง เช่น หยิบน้ำกินเอง หรือเวลาที่โดนขัดใจจะร้องไห้ก่อนแล้วเดินไปนั่งคนเดียว รอให้เราเดินไปหา ไปโอ๋ ซึ่งทุกครั้งจะเป็นแบบนั้น
จากที่หาข้อมูลต่าง ๆ พอจะสรุปได้ว่า "ลูกกำลังเข้าใจว่า การร้องไห้ทำให้เขาได้ ทุกอย่างที่ต้องการ"
สิ่งที่น่าจะแก้ไขได้ จากคำแนะนำของ ครูจี๊ด และบทความของคุณหมอ พ.ญ. วินัดดา ปิยะศิลป์ คือ
1. ให้ความสำคัญต่อเด็ก เมื่อขณะที่ยังไม่กรี๊ด หรือแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม ยังไม่เคยเห็นเด็กคนไหนกรี๊ดได้กรี๊ดดีอยู่ตลอดเวลา แต่พบได้บ่อยในเด็กที่เวลาประพฤติกรรมตัวดี ๆ น่ารัก ไม่ค่อยมีผู้ใหญ่ให้ความสำคัญ หรือชี้ให้เด็กเห็นว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดีและเหมาะสมแล้ว แต่พอเด็กกรี๊ดออกมาเท่านั้น ผู้ใหญ่จะรีบวิ่งเข้าหาเพื่อปลอบหรือให้ความสำคัญ หรือเข้าไปดุ ว่า ตี สั่งสอน ฯลฯ แต่ก็เท่ากับว่าให้ความสำคัญต่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั่นเอง ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ จนเด็กเรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องกรี๊ดเพื่อเรียกร้องความสนใจ
2. ในกรณีที่เอาแต่ใจตัวเอง ทุกอย่างต้องได้ ถ้าไม่ได้ก็จะโวยวาย เด็กลักษณะนี้มักจะถูกเลี้ยงดูโดยการตามใจเด็กมากเกินไป จนไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่ชัด โดยที่พ่อแม่และพี่เลี้ยงจะพยายามทำทุกอย่างตามที่เด็กต้องการ เพื่อจะได้ไม่ร้องไห้ และเด็กเองก็เรียนรู้ถึงอิทธิพลของการโวยวายกรี๊ดร้องว่าจะใช้เป็น "ไม้ตาย" เวลาไม่ได้ดั่งใจ เช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีการเลี้ยงดูเด็กใหม่อย่าคิดว่าการทำ ทุกอย่างเพื่อป้องกันมิให้เด็กร้องไห้นั้น จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นมีคนรักคนชอบมากมาย เด็กเองต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในกฎเกณฑ์ ลดการตามใจ ฝึกให้ช่วยตนเองเพิ่มขึ้น สิ่งใดที่เล่นไม่ได้ก็อย่าให้เล่นถึงแม้ว่าเด็กจะอาละวาดขนาดไหน ก็อย่าสนใจ แต่ให้เบี่ยงเบนความสนใจไปสู่สิ่งอื่น
3. ลดการยั่วแหย่เด็ก หรือทำให้เด็กโกรธโดยไม่จำเป็น
4. ในกรณีที่มีผู้ใหญ่ที่ชอบกรี๊ด หรือโวยวายเป็นต้นแบบของวิธีที่จะเอาแต่ใจตัวเอง จำเป็นต้องพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา เพื่อลดแบบอย่าง ถ้าเป็นไปได้กรณีที่เปลี่ยนผู้ใหญ่ไม่ได้ก็ต้องแยกเด็กให้ห่างออกมา
5. ฝึกให้เด็กควบคุมอารมณ์ อารมณ์รัก ชอบ ดีใจ ไม่พอใจ โกรธ ผิดหวัง ฯลฯ เป็นอารมณ์ที่พบได้ในเด็กวัย 3 - 5 ปี หน้าที่ของพ่อแม่ก็คือสอนให้เด็กรู้ทันว่าตนเองรู้สุกอย่างไร และฝึกให้หัดควบคุมอารมณ์ หรือฝึกวิธีระบายอารมณ์ ซึ่งมีหลายวิธีตั้งแต่การพูดคุย การทำสิ่งทดแทน เช่นโกรธจัด ๆ ก็ไปเตะฟุตบอล หรือว่ายน้ำ หรือวาดรูปเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้โกรธ เพื่อที่เด็กจะได้เรียนรู้ไตร่ตรองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นต้น
6. เพิ่มทักษะในการเล่น เช่น การว่ายน้ำ เล่นบอล ถีบจักรยาน วาดรูป เล่นตุ๊กตา เล่นขายของ ฯลฯ เพราะการเล่นในเด็กมีความหมายเท่ากับการทำงานของผู้ใหญ่ ในชีวิตจริงเราพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่ลูกจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ ความผิดหวัง ความเสียใจ ความโรธแค้น จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่การเล่นและการทำกิจกรรมจะทำให้เด็กผ่านภาวะเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ได้มีเวลาไตร่ตรอง และระบายความรู้สึกผ่านการเล่นนี้เอง
7. เพิ่มทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น ปัญหาของเด็ก 3- 5 ปี มักหนีไม่พ้นปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น ทำน้ำหก ติดกระดุมเขย่ง หารองเท้าไม่พบ ฯลฯ การฝึกหัดให้เด็กรู้จักแก้ปัญหาเหล่านี้จะส่งผลทำให้เด็กมีความชำนาญที่จะ แก้ไขสถานการณ์ที่ผิดหวังได้เก่งกว่าเด็กที่ช่วยตนเองไม่ได้ ซึ่งก็คงทำได้แค่ส่งเสียงกรี๊ด ๆ รอให้ผู้ใหญ่เข้ามาช่วยเหลืออีกตามเคย
ก็คงต้องเริ่มจาก ผู้ปกครองอย่างเรา แบบที่เขาบอกว่า สิ่งที่เด็กแสดงที่โรงเรียนนั้นแสดงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้าน อะไรที่แสดงที่บ้าน ต้องกลับไปดูที่ โรงเรียน ว่าเกิดอะไรขึ้น
ที่โรงเรียน เหวิน เหวิน เดาว่า เหมือนจะโดนขัดใจทุกอย่าง แต่ที่บ้าน เหวิน เหวิน กลับได้ทุก ๆ สิ่ง แล้วแบบนี้ จะแปลกใจได้ยังงัยเมื่อเขา "ไม่อยากไปโรงเรียน"
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น